SHARE
Bacardi Legacy Thailand 2020 ผู้เข้าชิงปีนี้ จัดว่าจี๊ด

โค้งสุดท้าย กับ 3 บาร์เทนเดอร์รุ่นใหม่ที่ละสายตาไม่ได้

SHARE


การแข่งขันเพื่อเฟ้นหาสุดยอดบาร์เทนเดอร์ของรายการ Bacardi Legacy Cocktail Competition ประจำปีนี้ กำลังจะเดินทางเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการคัดเลือกตัวแทนจากจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Winners) ประจำปี 2020 ซึ่งจะมีขึ้นกลางเดือน ก.พ. นี้ ที่เมืองเซบู (Cebu) ประเทศฟิลิปปินส์ โดยมี 3 ตัวแทนจากประเทศไทย เข้าร่วมชิงชัย คือ ป๊อก ประภากร คงหลี จาก #FindTheLockerRoom , แอน เบญญาภา กองรัมย์ จาก Cielo Sky Bar & Restaurant และ เคนนี่ เดชศักดา เทียนทอง จาก Vesper Cocktail Bar

อย่างที่หลาย ๆ คน ทราบกันดีแล้วว่า Bacardi Legacy Cocktail Competition คือการเฟ้นหายอดฝีมือบาร์เทนเดอร์จากทั่วโลก เพื่อเข้าร่วมแข่งขันการสร้างสรรค์ค็อกเทลที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2008 โดยแบรนด์เหล้ารัมระดับโลกอย่าง Bacardi ซึ่งแต่ละปีล้วนถูกกำหนดด้วย “โจทย์”  ที่มุ่งมั่นให้ผู้เข้าแข่งขันมีโอกาสได้สร้างสรรค์ 'ค็อกเทลคลาสสิก' ตัวต่อไปให้กับโลก สมศักดิ์ศรีที่จะเป็นเครื่องดื่มใหม่ที่ได้มาตรฐานเดียวกันกับค็อกเทลที่คนทั่วโลกต่างคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว จาก Daiquiri สู่ Mojito ซึ่งผู้เข้าแข่งขันต้องตีโจทย์ให้แตกว่าอะไรคือคุณสมบัติที่พึงมีและคู่ควร ที่จะทำให้ค็อกเทลของตนได้ก้าวเทียบกับค็อกเทลที่มีอายุกว่าร้อยปีอย่าง Daiquiri หรือ Mojito จนกลายเป็นเครื่องดื่มที่ทั่วโลกให้การยอมรับและยังคงดื่มอยู่จนถึงทุกวันนี้

ซึ่งแน่นอนว่าผู้เข้าแข่งขันที่เป็นตัวแทนจากแต่ละประเทศ จะต้องนำเสนอเรื่องราวของแรงบันดาลใจ รสชาติที่ดี อร่อย และเป็นจริงที่สามารถทำได้ในทุกพื้นที่ทั่วโลก ด้วยส่วนผสมหลักที่เอื้อให้หาได้ในทุกภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น บาร์เทนเดอร์ทุกคนที่เข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขันรายการนี้ ต้องนำเสนอแผนการตลาดทั้งทิศทางของการโปรโมททั้งทาง Online และ Offline รวมถึงโครงการ Charity ต่าง ๆ ที่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องทุ่มเทและตั้งใจจริง นอกเหนือจากทักษะในการทำเครื่องดื่มได้อย่างดีเยี่ยม


ซึ่งในปีที่แล้ว ผู้ชนะและเป็นแชมป์ Bacardi Legacy Cocktail Competition 2019 คือ คุณหนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์ บาร์เทนเดอร์และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Find the Locker Room, Find the Photobooth และ Backstage Cocktail Bar กับค็อกเทลที่มีชื่อว่า Pink Me Up ค็อกเทลสีชมพู ที่ตีโจทย์จากค็อกเทลประเภทที่เรียกว่า Pick Me Up หรือค็อกเทลที่ ‘ดื่มให้ตื่น’ ที่เรามักเห็นค็อกเทลประเภทนี้อยู่ในรายการเครื่องดื่มของมื้อสาย (Brunch) ซึ่งก็มีค็อกเทลที่นิยมและเป็นที่รู้จักดีอยู่ก่อนแล้ว เช่น  Bloody Mary และ Espresso Martini แต่ทุกเมนูยอดนิยม ยังไม่มีค็อกเทลตัวไหนที่ใช้เหล้ารัมเป็น Main Flavor  คุณหนึ่งจึงตัดสินใจเลือกใช้เหล้ารัม Bacardi Carta Blanca มาผสมกับมะเขือเทศสด ใบโหระพา น้ำเชื่อมกลิ่นอัลมอนด์  น้ำดองมะกอก และบาลานซ์รสชาติด้วยน้ำมะนาว

ด้วยรสชาติที่ลงตัวและคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจน จึงส่งผลให้คุณหนึ่งในฐานะตัวแทนของประเทศไทย ได้รับชัยชนะ เป็นแชมป์โลกคนที่ 11 จากรายการ Bacardi Legacy Cocktail Competition ในปี 2019 ที่ผ่านมา



และสำหรับปีนี้ เราอยากชวนเพื่อน ๆ มาร่วมให้กำลังใจ กับ 3 บาร์เทนเดอร์ ที่พูดได้ว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ ที่น่าจับตามอง และมีความสามารถที่โดดเด่นและน่าสนใจ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนจากประเทศไทย เข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขัน Bacardi Legacy Cocktail Competition 2020

และนี่คือเรื่องราวของแรงบันดาล ความตั้งใจ และความมุ่งมั่น ในการเตรียมพร้อมก่อนไปชิงชัยในฐานะ ตัวแทนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Winners) ประจำปี 2020 ที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์ ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้



คนแรกที่เราอยากพามาแนะนำให้รู้จักกัน คือ คุณป๊อก ประภากร คงหลี จาก #FindTheLockerRoom บาร์เทนเดอร์หนุ่มผิวเข้ม นัยน์ตาใสซื่อและมุ่งมั่นจากเกาะสมุย ที่เพิ่งย้ายถิ่นฐานมาทำงานในกรุงเทพฯ ได้ไม่ถึงปี หลงรักและหลงใหลในศาสตร์และศิลป์ในการทำค็อกเทล ที่เริ่มเข้าใจและตระหนักถึงความไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อได้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันการทำค็อกเทลระดับประเทศครั้งแรก ซึ่งแน่นอนว่าครั้งนั้น “ล้มเหลว” แบบไม่เป็นท่า เพราะความไม่รู้ อ่อนซ้อม และคิดว่าเป็นเรื่องสนุก คิดว่าเกมการแข่งขันไม่น่าเกินความสามารถของตัวเองไปได้ บทเรียนครั้งนั้นสอนให้ป๊อกเอาจริงและมุ่งมั่นกับการทำงานสายนี้ พร้อมบอกกับตัวเองว่า “ล้มเหลวได้ แต่อย่าล้มเลิก”

และกับการลงสนามชิงชัยกับ Bacardi Legacy Cocktail Competition 2020 ครั้งนี้ ถือว่าเป็นรางวัลที่ตัวเองภูมิใจมากที่สุดครั้งหนึ่งก็ว่าได้ การได้เป็น 1 ใน 3 ของตัวแทนจากประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในความคาดหมาย แต่เมื่อได้รับการคัดเลือกมาแล้ว คุณป๊อก ก็คิดว่าหลังจากนี้ ต้องยิ่งทุ่มเท และทุ่มสุดตัว กับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่กำลังรอการพิชิตอยู่ข้างหน้า



คุณป๊อก สร้างสรรค์ค็อกเทลที่มีชื่อว่า Out Of Sight โดยมีความตั้งใจที่อยากให้เครื่องดื่มแก้วนี้เป็นตัวแทนของความรักที่ตัวเองมีต่อคนรักและลูก อยากให้ลูกมีความภูมิใจที่มีพ่อเป็นบาร์เทนเดอร์ เพราะสังคมของคนต่างจังหวัดนั้น อาชีพบาร์เทนเดอร์ถือว่าค่อนข้างใหม่และแปลกสำหรับคนรุ่นก่อน ที่จะนิยมและภาคภูมิใจกับอาชีพรับราชการ เด็กหลายคนจึงมักถูกปลูกฝังว่าการได้ทำงานในระบบราชการคือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ ซึ่งคุณป๊อกเองก็ถูกปลูกฝังแนวคิดมาเช่นกันเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เมื่อตัวเองมีลูกอันเป็นที่รัก ก็อยากปลูกแนวคิดให้ลูกได้รับรู้ว่าโลกนี้มีอาชีพอื่น ๆ อีกมาก ที่น่าสนใจ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือ อาชีพ บาร์เทนเดอร์ ของพ่อ ที่พ่ออยากให้ลูกคนนี้ได้ภูมิใจเช่นกัน

Out Of Sight จึงถูกสร้างสรรค์ภายใต้เรื่องราวเหล่านี้ เพื่อเป็นค็อกเทลที่เป็นตัวแทนหรือเป็นสัญลักษณ์ของสายใยความรักในครอบครัว ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนย่อมมีเรื่องราวส่วนตัว ที่พร้อมจะผลักดันให้เราเป็นเราที่แข็งแกร่งในวันนี้ได้ หลุดพ้นจากกรอบความคิดหรือความเชื่อเดิม ๆ รสชาติแห่งสายใยรักในค็อกเทลแก้วนี้ ถูกปรับและพัฒนามาจากรสชาติของอาหารที่คนท้องชื่นชอบและกินติดปากกันมา รวมถึงของคนรักของตนด้วย ซึ่งแน่นอนว่ารสชาติเหล่านี้จากแม่ ก็จะส่งผ่านไปสู่ลูกด้วย ซึ่งทารกน้อยที่มีอายุ 21 สัปดาห์ในครรภ์จะสามารถรับรู้รสชาติของอาหารที่ส่งผ่านจากแม่ได้มากถึง 7 ชนิดด้วยกัน คุณป๊อกจึงเลือกอาหารที่คนรักชื่นชอบมาต่อยอดเป็นส่วนผสมต่าง ๆ ในการสร้างสรรค์ค็อกเทลชื่อ Out Of Sight ของตน โดยเลือกน้ำสับปะรดและเลมอน แทนรสชาติของผลไม้รสเปรี้ยวที่คนท้องชื่นชอบ เลือกโยเกิร์ต แทนน้ำนม และอากาเว่ ไซรัป แทนน้ำผึ้ง ส่วนใบโหระพา แทนข้าวผัดกะเพราะ เมนูโปรดของคนรัก ที่ชอบทานมากระหว่างที่อุ้มท้องลูกสาวของเขา

ผลลัพธ์ด้านรสชาติของ Out Of Sight คือค็อกเทลที่สดชื่น กลมละมุน ดื่มง่าย เหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มแก้วจบในค่ำคืนที่อ่อนล้าหรือต้องการปิดฉากของเรื่องราวที่ซับซ้อนให้คลี่คลายด้วยความเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยรสชาติที่น่าจดจำ

และเมื่อเราถามคุณป๊อกว่า นาทีนี้ได้เตรียมตัวหรือมีความพร้อมมากแค่ไหนกับการที่จะต้องไปชิงชัยเพื่อเป็นตัวแทนของ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “จริง ๆ ผมดีใจมากที่จะได้ไปเป็นตัวแทนของประเทศนะ แต่มันเป็นความดีใจที่มาพร้อมภาระและความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ อารมณ์เดียวกันกับตอนที่รู้ว่ากำลังจะมีลูกและได้เป็นพ่อ มันดีใจแต่ก็ตระหนักได้ว่าเรามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มาก รออยู่ข้างหน้า” 




“เราอยากบอกเล่าเรื่องราวของสัมผัสพิเศษในยามค่ำคืนของบาร์เทนเดอร์ ที่เราต้องเห็นมากกว่าแค่การมองเห็นด้วยสายตา” คือที่มาของค็อกเทลชื่อ Blind Night จาก คุณแอน เบญญาภา กองรัมย์ บาร์เทนเดอร์ จาก Cielo Sky Bar & Restaurant

คุณแอนจัดเป็นม้ามืดของการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งเจ้าตัวเองก็สารภาพจากใจว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 ตัวแทนจากประเทศไทยในปีนี้

ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ตั้งใจทำงานแบบจริงจัง ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้คนมากเท่าไหร่นัก พูดได้ว่าชีวิตที่ผ่านมามีแต่บ้านกับที่ทำงานเท่านั้น และเมื่อได้รับโอกาสจากการแข่งขันครั้งนี้ ก็ถือเป็นอีกก้าวที่ท้าทายตัวเองให้ออกจากพื้นที่เดิม ๆ สู่อีกโลกที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เป็นโจทย์ที่ยากขึ้นและต้องก้าวผ่านไปให้ได้



กับค็อกเทลของตัวเองที่ชื่อว่า Blind Night นั้น คุณแอนเล่าว่าหลังจากทราบโจทย์ที่ทางบาคาดี้กำหนดมา ก็คิดถึงเรื่องราวของเครื่องดื่มก่อน ซึ่งตัวเองอยากสื่อสารถึงการทำงานของคนที่ยืนอยู่หลังบาร์ว่าหลาย ๆ ครั้ง เราไม่สามารถเห็นทุกอย่างได้แบบชัดเจนเหมือนคนทำงานกลางวัน พื้นที่การทำงานของเราถูกจำกัดในพื้นที่ที่มีแสงค่อนข้างน้อย คำว่ามองเห็นของคนทำงานหลังบาร์ค็อกเทล คือ เราอาจเห็นด้วยการได้ยิน เห็นจากการฟังในสิ่งที่ลูกค้าพูด หรือเห็นด้วยการจดจำ ด้วยการลิ้มรส บางครั้งแค่เราได้ชิม ก็รู้ได้เลยว่ารสชาตินี้คืออะไร หรือมาจากอะไร จึงเป็นที่มาของชื่อค็อกเทลในความหมายของค่ำคืนที่ไร้การมองเห็น และแต่เรายังเห็นได้ จึงใช้ชื่อค็อกเทลว่า Blind Night

Blind Night ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก ๆ คือ เหล้ารัม Bacardi Carta Blanca, เหล้าผลไม้ และน้ำมะพร้าวสด ใช้วิธี Stir ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นแนว Straightforward Cocktails ที่มีหน้าตาใสซื่อ เรียบง่าย แต่แอบซ่อนความเข้ม แรง หนักหน่วง หรือพูดได้ว่าเป็นแก้วที่แอบซ่อนความท้าทายในทุกจิบสัมผัส ที่สายดื่มแบบจริงจังจะชื่นชอบอย่างแน่นอน

ความสนุกและน่าสนใจของ Blind Night คือ รสชาติที่พร้อมตลบท้ายแบบไม่สามารถคาดเดาได้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบการซ่อนรสสัมผัสของบาร์เทนเดอร์ที่จะขยับให้ความเข้มและความหวานละมุนของเหล้าและน้ำมะพร้าวในแต่ละแก้วต่างกันอย่างไร ทำให้ผู้ชายดื่ม หรือเสิร์ฟให้ผู้หญิงจิบ ทั้ง 2 แก้ว อาจมีความแตกต่างของรายละเอียดของรสชาติที่ซ่อนไว้ได้แตกต่างกัน

ยิ่งไปกว่านั้นคุณแอน ยังคิดที่จะสร้างสรรค์และต่อยอดเป็น Blind Night ในมิติที่แตกต่างออกไปไม่ว่าจะเป็น Blind Night Martini ที่อาจใช้ชื่อว่า Blind One Night หรือในอนาคตเราอาจพบค็อกเทลชื่ออื่น ๆ ตามมาอย่าง Blind Midnight อีกก็เป็นได้ ถือเป็นค็อกเทลที่มีมิติของรสชาติที่ซับซ้อนและสนุกในการค้นหารสชาติที่ซ่อนไว้


มาถึงคนสุดท้ายที่เป็นตัวแทน 1 ใน 3 จากประเทศไทยที่จะไปชิงชัยครั้งนี้ กับ เคนนี่ เดชศักดา เทียนทอง จาก Vesper Cocktail Bar ที่พูดได้ว่าน่าจะเจนเวทีและผ่านสังเวียนการลงชิงชัยสายแข่งขันมามากกว่า 2 คนแรก ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถปฏิเสธความคาดหวัง แรงกดดัน ทั้งจากคนรอบข้างและจากตัวเองไปไม่ได้

คุณเคนนี่ จัดได้ว่าเป็นบาร์เทนเดอร์รุ่นใหม่ที่ฉายแสงและไฟแรง มีการเติบโต พัฒนาทักษะและฝีมือมาอย่างต่อเนื่องตลอดในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ผ่านเวทีการแข่งขันมาค่อนข้างหลายที่และหลายครั้ง มีทั้งเข้ารอบท้าย ๆ และได้รับชัยชนะคละ ๆ กันไป

จากการแข่งขันและจากการทำงานไปด้วยพร้อม ๆ กัน ก็ได้เรียนรู้ว่ายิ่งทำหลายอย่าง โอกาสสูญเสียก็มากขึ้นตาม คือนอกจากสูญเสียเวลาส่วนตัวแล้ว โอกาสเสี่ยงในการสูญเสียความมั่นใจก็มีความเป็นไปได้ไม่น้อย หลายคนเมื่อมีหลายสิ่งต้องทำแล้วควบคุมตัวเองได้ไม่ดี บางครั้งความพ่ายแพ้ก็นำไปสู่การหลงทาง คือไปต่อไม่ถูก หาทางที่ใช่ของตัวเองไม่เจอ ทุกวันนี้ ก็มักจะต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่า “พ่ายแพ้ได้ แต่จะหลงทางไม่ได้”



และด้วยประสบการณ์การผ่านร้อนผ่านหนาว ล้มลุกคลุกคลานมาก็มาก คุณเคนนี่บอกกับเราว่า นี่ล่ะคือเส้นทางหรือคือบทเรียนที่ทำให้ตัวเองได้ตระหนักรู้ว่า เราควรภาคภูมิใจหรือยินดีกับประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างไร คำว่า Ten Feet Tall ที่มีความหมายในนัยยะของ Feeling Really หรือ Really Good คือความรู้สึกที่ดีมาก ๆ จากตัวตนของเราเอง ที่เติบโตมาจากการใช้ชีวิตที่ผ่านมา มันคือ to be proud ที่เป็นรางวัลที่เราให้กับตัวเราเองได้ในทุกวัน จึงถูกใช้มาเป็นชื่อของค็อกเทลที่ใช้แข่งขันในครั้งนี้


10 Feet Tall เป็นค็อกเทลที่ใช้ส่วนผสมหลัก คือ เหล้ารัม Bacardi Carta Blanca, White Wine, Maraschino Liqueur, Lemon Juice, Honey และ Dill ความน่าสนใจอยู่ที่การผสมผสานรสชาติของ White Wine น้ำมะนาว และน้ำผึ้ง ที่แน่นอนว่ามีรายละเอียดของชั้นเชิงของรสชาติที่แตกต่างกันค่อนข้างมากและสังเกตยาก แต่การใช้ทักษะและประสบการณ์ในการจัดการเทคนิคในการผสมผสานจะช่วยให้กำหนดรสชาติได้อย่างลุ่มลึกและออกมาน่าสนใจ จิบแรกล้วนสร้างความประทับใจด้วยประสบการณ์แปลกใหม่ของรสชาติที่กลมละมุน แต่แฝงไว้ด้วยรสชาติที่ซ่อนซ้อนทับกันไว้ หลายคนอาจค้นหาไม่เจอในจิบแรก แต่จะค้นพบได้ในจิบต่อ ๆ มา

 

RELATED